วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554

วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ประเภทของแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลโคเวเลนต์ 
1.แรงแวนเดอร์วาลส์
-แรงลอนดอน ( london foece ) เป็นแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล ยึดเหนี่ยวกันด้วยแรงอ่อนๆ ซึ่งเกิดขึ้นในสารทั่วไป และจะมีค่าเพิ่มขึ้นตามมวลโมเลกุลของสาร
-แรงดึงดูดระหว่างขั้ว ( dipole – dipole force ) เป็นแรงดึงดูดทางไฟฟ้าอันเนื่องมาจากแรกระทำระหว่างขั้วบวกกับขั้วลบของโมเลกุลที่มีขั้ว
2.พันธะไฮโดรเจน (hydrogen bond , H – bond ) คือ แรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลที่เกิดจากไฮโดรเจนอะตอมสร้างพันธะโคเวเลนต์ กับอะตอมที่มีค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีสูง

วิธีการเขียนสูตรโครงสร้างของสารอินทรีย์
1.สูตรโมเลกุล
2.สูตรแบบจุด/สูตรแบบเส้น
3.สูตรแบบย่อ
4.สูตรแบบเส้นและมุม

ประเภทของสารประกอบคาร์บอน

1.ใช้ลักษณะปฏิกิริยาเป็นเกณฑ์
-Saturated Cpds  เป็นพันธะซิกม่า
-Unsaturated Cpds  เป็นพันธะพายอย่างน้อย 1 พันธะ
2.ใช้โครงสร้างเป็นเกณฑ์
-Aliphatic Cpds โซ่เปิด
  * Straight Chain
  * Branched Chain
-Ailcyclic Cpds โซ่ปิด
3.Aromatic Cpds
Alicyclic Cpds ที่มีจำนวนอิเล็กตรอนพาย = 4n-2 
4.Heterocyclic Cpds
โซ่ปิดที่ไม่ได้ประกอบด้วยCทั้งหมด




วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554

วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554

บทนำ
พันธะที่เกิดขึ้นกับ Carbon คือ Covalent Bond และ Carbon มีการจัดเรียง e- ดังนี้ 1s2 2s2 2p2 มี e- เดี่ยวเพียง 2 ตัว น่าจะสร้างได้เพียง 2 พันธะ แต่จริงๆแล้ว Carbon สร้างได้ 4 พันธะ อธิบายได้โดยทฤษฎีพันธะเวเลนต์ (Valence Bond Theory)
         Valence Bond Theory อธิบายการเกิดพันธะ ที่คาร์บอนเกิดการผสมของ e- ใน 2s และ 2p ก่อนจะสร้างพันธะกับธาตุอื่น เรียกการผสมนี้ว่า Hybridization

 Hybridization ของ Carbon มี 3 รูปแบบ
1. Hybridization แบบ sp3 เกิดจากการผสมของ e- ใน 2s :1 orbital และ 2px 2py 2pz : 3 orbital เกิดเป็น orbital ใหม่ 4 orbital ที่ผสมกันระหว่าง 2s และ 2p มีลักษณะโครงสร้างแบบ AX4 หรือทรงสี่หน้า (Tetrahedral) เรียกพันธะเดี่ยวที่ orbital ทั้งสี่สร้างว่า พันธะ sigma (σ bonds) และ e- ที่ใช้สร้าง σ bonds ว่า electron sigma (σ electron) เช่น Methane (CH4)




2. Hybridization แบบ sp2 เป็นการผสมของ e- ใน 2s: 1 orbital  และ 2p อีก 2 orbital เกิดเป็น orbital ผสม 3 orbital ทำมุม 120 องศา เป็น AX3 สามเหลี่ยมแบนราบ (Trigonal Planar) มี e- เหลือใน 2pz อีก 1 orbital  orbital ผสม 3 orbital สร้าง σ bonds (พันธะซิกมา) ส่วน e- ที่เหลือใน 2pz จะใช้สร้าง พันธะไพ (π bonds) เรียก e- ที่ใช้สร้าง π bonds ว่า π electron เช่น Ethylene or Ethene (C2H4)



3. Hybridization แบบ sp เป็นการผสมของ e- ใน 2s: 1 orbital  และ 2px 1 orbital เกิดเป็น orbital ผสม 2 orbital ทำมุม 180 องศา เป็น AX2 เส้นตรง (Linear) มี e- เหลือใน 2py และ 2pz อีก 2 orbital  orbital ผสม 2 orbital สร้าง σ bonds (พันธะซิกมา) ส่วน orbital ที่เหลือ 2 orbital สร้าง พันธะไพ (π bonds) เช่น Acetylene or Ethyne (C2H2)



เครดิต: http://www.thaiblogonline.com/Goodfriend.blog?PostID=21382

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

การไทเทรต
เป็นกระบวนการวิเคราะห์หาปริมาณของกรดหรือเบส โดยให้สารละลายกรดหรือเ บสทำปฏิกิริยาพอดีกับสารละลายมาตรฐาน เบสหรือกรดซึ่งทราบความเข้มข้นที่แน่นอน และใช้อินดิเคเตอร์เป็นสารที่บอกจุดยุติ ด้วยการสังเ กตจากสีที่เปลี่ยน ขณะไทเทรต pH จะเปลี่ยนไป ถ้าเลือกใช้อินดิเคเตอร์เหมาะสม จะบอกจุดยุติใกล้เคียงกับจุดสมมูล จุดสมมูล (จุดสะเทิน = Equivalence point)
คือจุดที่กรดและเบสทำปฏิกิริยาพอดีกัน จุดสมมูลจะมี pH เป็นอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของกรดและเบสที่นำมาไทเทรตกัน และขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของกรดและเบส
จุดยุติ (End point)
คือ จุดที่อินดิเคเตอร์เปลี่ยนสี ขณะไทเทรตกรด- เบสอยู่
กราฟของการไทเทรต1. การไทเทรตระหว่างกรดแก่กับเบสแก่


2. การไทเทรตระหว่างกรดอ่อนกับเบสแก่


3.  การไทเทรตระหว่างกรดแก่กับเบสอ่อน



*ไม่มีการไทเทรตระหว่างกรดอ่อนและเบสอ่อนเพราะมีจุดยุติที่สั้นมาก

วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554

วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554

สารละลายบัฟเฟอร์
สารละลายบัฟเฟอร์(buffer solution)หมายถึง สารละลายของกรดอ่อน+เกลือของกรดอ่อน
หรือ สารละลายของกรดอ่อน+เกลือของกรดอ่อน

สมบัติของสารละลายบัฟเฟอร์
สมบัติของสารละลายบัฟเฟอร์ คือ รักษาสภาพ PH ของสารละลายเอาไว้โดยจะเกิดการเปลี่ยนแปลงน้อยมากเมื่อเติมกรดแก่หรือเบสแก่จำนวนเล็กน้อย
การเตรียมสารละลายบัฟเฟอร์
-เตรียมสารทางตรง
นำสารทั้งสองมาผสมกันเลย เช่น CH3COOH กับ CH3COONa
-เตรียมสารทางอ้อม
เมื่อเราไม่มีสารที่เราต้องการจึงต้องนำสารมาทำปฏิกิริยากัน
เช่น ถ้าเรามี CH3COOH
CH3COOH + NaOH  ----------->  CH3COONa + H2O
เมื่อ CH3COOH มากเกินพอ ส่วน NaOH จะหมดไป
ทำให้เหลือ CH3COOH กับ CH3COONa ที่เป็นคู่บัฟเฟอร์กัน
       ถ้าเรามี CH3COONa
CH3COONa + HCl  -----------> CH3COOH + NaCl
เมื่อ CH3COONa มากเกินพอ ส่วน HCl จะหมดไป
ทำให้เหลือ CH3COOH กับ CH3COONa ที่เป็นคู่บัฟเฟอร์กัน
การดูค่า pH ของ สารละลายBuffer
1.บัฟเฟอร์ที่เกิดจากกรดอ่อนคู่กับเกลือของกรดอ่อน มี pH <7
2.บัฟเฟอร์ที่เกิดจากเบสอ่อนคู่กับเกลือของเบสอ่อน มี pH >7

วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554

วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554

การแตกตัวของกรดอ่อนหลายโปรตอน
การแตกตัวของกรดพอลิโปรติก หรือ การแตกตัวของกรดอ่อนหลายโปรตอน 
กรดพอลิโปรติก หมายถึง กรดที่มีโปรตอนมากกว่า 1 ตัว และสามารถแตกตัวให้ H+ ได้มากกว่า 1 ตัว ถ้าแตกตัวแล้วได้ H+ 2 ตัว จะเรียกว่า กรดไดโปรติก เช่น H2CO3, H2S, H2C2O4 เป็นต้น
ใช้วิธีการคำนวณแบบกรดอ่อน แต่ต้องคิดตามจำนวน H+
เช่น
H2CO3 มี H+จำนวน 2 ตัว ซึ่งจะแตกตัวออก 2 ครั้งโดยแต่ละครั้งจะมี H+ หลุดออกไป 1 ตัว
ทำให้ต้องคิดแบบการแตกตัวแบบกรดอ่อน 2 รอบ
ยกเว้น H2SO4 ที่ครั้งแรกจะเกิดการแตกตัวแบบกรดแก่
อินดิเคเตอร์
อินดิเคเตอร์ คือ สารที่ใช้ทดสอบความเป็นกรด เบสของสารต่าง ๆ และสีของสารนี้จะเปลี่ยนไปเมื่อค่าความเป็นกรด - เบสเปลี่ยนไป
การทดสอบความเป็นกรด - เบสของสารละลายความเป็นกรด - เบส หรือค่า pH ของสารละลายสามารถทดสอบได้โดยใช้อินดิเคเตอร์ 

อินดิเคเตอร์ที่ใช้ในการทดสอบความเป็นกรด - เบส หรือค่า pH ของสารละลาย ได้แก่
1. กระดาษลิตมัส

มีสีแดงกับสีน้ำเงิน มีการเกิดขึ้น ดังนี้ 
- สารละลายกรด หรือสารละลายที่มีค่า pH ต่ำกว่า 7 จะเปลี่ยนสีของกระดาษลิตมัส
   จากสีน้ำเงินเป็นสีแดง แต่ไม่เปลี่ยนสีของกระดาษลิตมัสสีแดง
- สารละลายเบสหรือสารละลายที่มีค่า pH สูงกว่า 7 จะเปลี่ยนสีของกระดาษลิตมัส
   จากสีแดงเป็นสีน้ำเงินแต่ไม่เปลี่ยนสีของกระดาษลิตมัสสีน้ำเงิน 
- สารละลายเป็นกลางหรือสารละลายที่มีค่า pH เท่ากับ 7 จะไม่เปลี่ยนสีของกระดาษลิตมัส
   ทั้งสีแดงและสีน้ำเงิน 
2. สารละลายฟีนอล์ฟทาลีน
เป็นอินดิเคเตอร์ที่ไม่มีสี เมื่อหยดสารละลายกรด สีของสารละลายจะคงเดิม
เมื่อหยดสารละลายเบส สีของสารละลายฟีนอล์ฟทาลีนจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูม่วง
แต่ถ้าเป็นเบสแก่จะเปลี่ยนเป็นสีแดง
3. สารละลายยูนิเวอร์แซลอินดิเคเตอร์

เป็นการนำอินดิเคเตอร์หลาย ๆชนิดที่มีการเปลี่ยนสีในช่วง pH ต่างกันมาผสมกัน
ในสัดส่วนที่เหมาะสมจึงสามารถบอกค่าความเป็นกรด - เบส ของสารละลาย
ดยบอกค่า pH ที่ละเอียด และถูกต้องยิ่งขึ้น 
เกลือ
ปฎิกิริยาไฮโดรลิซิส คือ ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นหลังจากที่เกลือละลายน้ำแล้ว
ซึ่งจะได้ไอออนของเกลือ โดยไอออนของเกลือจะไปทำการแยกสลายน้ำ
เกลือเกิดได้จากปฏิกิริยา 4 ประเภท
คือ
1.กรดแก่+เบสแก่
เกลือที่เกิดขึ้นจะเป็นเกลือกลาง
2.กรดแก่+เบสอ่อน
เกลือที่เกิดขึ้นจะเป็นเกลือกรด
3.กรดอ่อน+เบสแก่
เกลือที่เกิดขึ้นจะเป็นเกลือเบส
4.กรดอ่อน+เบสอ่อน
เกลือที่เกิดขึ้นจะขึ้นอยู่กับค่าคงที่
-Ka = Kb เกลือที่ได้จะเป็นเกลือกลาง
-Ka > Kb เกลือที่ได้จะเป็นเกลือกรด
-Ka < Kb เกลือที่ได้จะเป็นเกลือเบส

วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2554

การแตกตัวของกรดอ่อนเบสอ่อน
กรดอ่อนและเบสอ่อนเป็นสารละลายที่แตกตัวในน้ำไม่หมด
จึงเกิดสมดุลขึ้น
1.

2.


การแตกตัวของน้ำ,ค่าpH,ค่าpOH
การแตกตัวของน้ำ 
          น้ำเป็นอิเล็กโทรไลต์ที่อ่อนมาก จึงทำให้แตกตัวได้น้อยมาก ดังนั้นการนำไฟฟ้าของน้ำจะน้อย จนไม่สามารถตรวจสอบได้ด้วยการนำไฟฟ้าผ่านหลอดไฟ แต่ตรวจได้ด้วยเครื่องวัดกระแส (แอมมิเตอร์) ด้วยเหตุนี้จึงมีการอนุโลมให้น้ำบริสุทธิ์เป็นสารนอนอิเล็กโทรไลต์
          ตามทฤษฎีของเบรินสเตต - ลาวรี กล่าวว่า น้ำ ทำหน้าที่เป็นทั้งกรดและเบส ไอออนที่เกิดขึ้นจากการแตกตัวของน้ำนั้นจะมีการถ่ายเทโปรตอนกันเอง เรียกว่า ออโตไอออนไนเซชัน

โมเลกุลของน้ำที่เสีย H+ จะเปลี่ยนเป็น OH- ซึ่งมีประจุลบ และโมเลกุลของน้ำที่ได้รับ H+ จะเปลี่ยนเป็น H3O+ ซึ่งมีประจุบวก
เนื่องจากระบบนี้อยู่ในภาวะสมดุล เราจึงสามารถเขียนสมการค่าคงที่สมดุลของ H2O ได้ ดังนี้


ค่า pH
เป็นตัวย่อที่มาจากภาษาละตินของคำว่า pondus hydrogenii (podus = pressure, hydrogenium = hydrogen แต่บางตำราคำว่า p หมายถึง power) ดังนั้นจึงเป็นการวัดการทำงานของโฮโดรเจนอิออนในสสารนั่นเอง ค่า pH ของสารละลายใด ๆ กำหนดได้จากลอกการิทึมลบ (ฐาน 10) ของความเข้มข้นไฮโดรเนียม ไอออน นั่นคือ
pH = -log[H+]   ----1
หากสารละลายมีค่า pH มากกว่า จะมีค่า H3O+ (หรือ H+) ในสารละลายมากกว่านั่น

                     pH+pOH = 14

ค่า pOH
เป็นการกำหนดความเป็นกรดด่างในรูปของ pOH scale ซึ่งกำหนดได้จากลอกการิทึมลบของความเข้มข้นของไฮดรอกไซด์อิออน นั่นคือ
                                                             pOH = - log [OH-]   ----2

จาก 1+2 ;      pH+pOH = - log [OH-]+-log[H+]  
                      pH+pOH = - log [OH-][H+]
                      pH+pOH = - log Kw
                      pH+pOH = - log 1.0 x 10 14

วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2554

การแตกตัวของกรดแก่เบสแก่
กรดแก่และเบสแก่เป็นสารละลายที่แตกตัวในน้ำจนหมด
จึงใช้วิธีคิดแบบปริมาณสารสัมพันธ์ได้เลย
ซึ่งกรดแก่-เบสแก่มีดังนี้